“บุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค (2)”
แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 คือ กลุ่มข้าราชการซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่บนสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและหน่วยงานราชการอื่นๆในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการในทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค มีตำแหน่งและระบบพัฒนาระดับความก้าวหน้าตามบทบัญญัติแห่งพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 ขณะที่ข้อเท็จจริงแห่งสิทธิที่ควรจะพึงมีพึงได้กลับเป็นมิติผกผันแห่งหลักการ “สิทธิและผลประโยชน์ภายใต้กฎหมายและบทบัญญัติเดียวกัน” อย่างสิ้นเชิง
สิทธิที่จะพึงมีพึงได้ที่ว่านี้ก็คือ สิทธิในความเจริญก้าวหน้าในสายงานที่ถูก “ลดทอน-ดองเค็มและเต็มตัน”มาอย่างยาวนาน สิทธิในการพิจารณา “ค่างานกับมาตรฐานตำแหน่ง”ที่สอดรับกับภารกิจและพัฒนาการควบคู่กับการปฏิรูปการศึกษา ประชาคมอาเซียน 2558 สิทธิในการยกระดับสมรรถนะและศักยภาพอันจะเอื้อกับวิทยฐานะและเงินประจำตำแหน่ง เฉกเช่นเดียวกับครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษาและศึกษานิเทศก์
“บุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค (2)” ทำหน้าที่ “สนับสนุน ส่งเสริมและพัฒนาประสิทธิภาพและคุณภาพการศึกษา” เฉกเช่นเดียวกับ “ศึกษานิเทศก์” มีมาตรฐานตำแหน่งและภาระงาน “ควบคู่และเคียงข้าง”กับ “ครู-ผู้บริหารสถานศึกษา-ผู้บริหารการศึกษา” ตาม “ไลน์” และ “ขั้นตอน-กระบวนการของระบบราชการการศึกษา”มาอย่างต่อเนื่องนับแต่การปฏิรูปการศึกษาในบริบทของการปฏิรูปโครงสร้างระบบราชการในกระทรวงศึกษาธิการซึ่งได้เริ่มต้น “ปฏิสนธิ”อย่างเป็นทางการ เมื่อปี 2547
“สิทธิตามกฎหมาย” ของครูและบุคลากรทางการศึกษา ในเชิงผลประโยชน์และสมดุลแห่งภาระงานต่างตอบแทนในรูปแบบวิทยฐานะและระดับการเลื่อนไหลในตำแหน่ง เงินเดือน ระดับและความก้าวหน้า มีระบบและขั้นตอนการเปลี่ยนผ่านพัฒนาการเชิงบวกแบบ “non stop” และ “infinity” ในขณะที่กลุ่มข้าราชการ “บุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค (2)” ซึ่งอยู่ในชายคากฎหมายฉบับเดียวกันกลับมิได้รับการเอาใจใส่ดูแลตามบทบัญญัติที่มีหน่วยงาน “สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาหรือ ก.ค.ศ.” กำกับดูแลอย่างที่ควรจะเป็น
ปฏิบัติการขับเคลื่อนของ “สมัชชาบุคลากรทางการศึกษา” สัญญลักษณ์ของกลุ่มข้าราชการ “บุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค (2)” ทั่วประเทศ ซึ่งออกมาขับเคลื่อนและแสดงปฏิกริยาผ่านวงเสวนาผู้บริหารการศึกษาระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการในประเด็น “แก้กฎหมายคืนสิทธิความเป็นครูให้บุคลากรทางการศึกษา” ณ ห้องประชุมอาคารรักตะกนิษฐ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต กทม. การยื่นข้อเสนอเพื่อขอแก้ไขกฎหมายผ่านสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภาและนายกรัฐมนตรีเมื่อเร็วๆนี้ จึงมิใช่เป็นเพียงปฏิกริยา “วิงวอน-ร้องขอ”สิทธิอันจะพึงมีพึงได้ตามตัวบทกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นการสะท้อนภาพให้เห็นถึงมิติจริยธรรมที่ขาดตกบกพร่องอันเป็นผลที่เกิดขึ้นจากความเพิกเฉยและการละเลยไม่พยายามปฏิบัติตามกฎหมายขององค์กรภาครัฐที่เกี่ยวข้องทำให้บุคลากรทางการศึกษาเสียสิทธิด้านความก้าวหน้า เงินเดือน เงินประจำตำแหน่งมาอย่างยาวนานร่วมทศวรรษ
นายสุชัย งามจิตต์เอื้อ ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากล่าวว่า “กฎหมายทุกฉบับมีกระบวนการกำกับดูแลอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม กรณีของข้าราชการบุคลากรทางการศึกษากลุ่มนี้ แม้จะมิใช่อยู่ในวิชาชีพควบคุมเหมือนครู ผู้บริหารหรือศึกษานิเทศก์ แต่ก็มีกระบวนการเยียวยาและดูแลได้โดยอำนาจของคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาหรือ ก.ค.ศ.ที่จะกำหนดชื่อตำแหน่งที่มีวิทยฐานะ นอกเหนือจากกระบวนการร้องขอให้มีการแก้ไขกฎหมายผ่านทางรัฐสภาซึ่งเป็นเรื่องใหญ่และมีกระบวนการพิจารณาหลายขั้นตอน”
ขณะที่...นายกมล ศิริบรรณ รองเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาหรือก.ค.ศ. ชี้ให้เห็นถึงกระบวนการ “เยียวยา” หรือ “แก้ไข”กฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นกฎกระทรวงหรือกฎก.ค.ศ. เฉพาะประเด็น “วิทยฐานะบุคลากรทางการศึกษา 38 ค (2)”ว่า ต้องเกี่ยวโยงกับกฎหมายหลายฉบับและคอมเม้นท์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆมากมายไม่ว่าจะเป็น กฎหมายเงินเดือน-วิทยฐานะ พ.ร.บ.การศึกษา พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา คุรุสภา คณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ และกพ. ซึ่งนั่นก็หมายถึงการต้องชี้แจง การประสานข้อมูล การสร้างความเข้าใจ ที่สำคัญต้องผ่านความเห็นชอบจากฝ่ายนโยบาย ด้วย
ดูเหมือนเส้นทางและปฏิบัติการทวงสิทธิอันพึงมีพึงได้ตามพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 ของ “บุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค (2)” จะมิง่ายดายนัก แต่หากพื้นฐานแห่งนโยบายรัฐมีธงแห่งหลักธรรมาภิบาลและการตระหนักถึงความสำคัญต่อสิทธิขั้นพื้นฐานตลอดจนความเสมอภาคตามกฎหมายของบุคคลอย่างจริงจัง... น่าจะเป็นคุณูปการยิ่งต่อระบบการบริหารจัดการศึกษาชาติในเงื่อนไขของการพัฒนาทรัพยากรบุคคลกลุ่มส่งเสริมสนับสนุนการศึกษา กลุ่มข้าราชการที่ว่ากันว่าถูกระบบราชการรังแกและถูกตัดตอนลิดรอนสิทธิมาอย่างยาวนาน
“บุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค (2)” กลุ่มคนชายขอบในชายคาสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน....
ที่มา : http://www.obec.go.th/news/18141
บุคลากรทางการศึกษาประกอบด้วย
ผู้สอนในหน่วยงานการศึกษา
1. ครูผู้ช่วย ในราชการส่วนท้องถิ่นมีตำแหน่ง ครูผู้ดูแลเด็ก (หรือ ครู ผดด.) และหัวหน้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก (หรือ หน.ศผด.) ซึ่งเทียบเท่า
2. ครูผู้ช่วย
3. ครู
4. อาจารย์
5. ผู้ช่วยศาสตราจารย์
6. รองศาสตราจารย์
7. ศาสตราจารย์
ทั้งนี้ตำแหน่งตามข้อ 3-6 จะมีได้เฉพาะในสถานศึกษาที่สอนระดับปริญญา
ครูตามข้อ 1 และ 2 แบ่งระดับอัตราเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง ดังนี้
ครูผู้ช่วย เป็นตำแหน่งที่บรรจุแต่งตั้งในระดับแรก (เทียบเท่าอาจารย์ 1 ระดับ 3 เดิม)
ครู ค.ศ. 1 (เทียบเท่าอาจารย์ 1 ระดับ 4-5)
ครู ค.ศ. 2 เป็นวิทยฐานะครูชำนาญการ แต่งตั้งจากครู ค.ศ. 1 (เทียบเท่าตำแหน่งอาจารย์ 2)
ครู ค.ศ. 3 เป็นวิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ แต่งตั้งจากครู ค.ศ. 2 ที่มีผลงานวิชาการผ่านเกณฑ์ (เทียบเท่าตำแปน่งอาจารย์ 3 ระดับ 8)
ครู ค.ศ. 4 เป็นวิทยฐานะครูเชี่ยวชาญ แต่งตั้งจากครู ค.ศ. 3 ที่มีผลงานวิชาการผ่านเกณฑ์ (เทียบเท่าตำแหน่งอาจารย์ 3 ระดับ 9)
ครู ค.ศ. 5 (เทียบเท่าตำแหน่งอาจารย์ 3 ระดับ 10)
ผู้บริหารสถานศึกษาและผู้บริหารการศึกษา
ประกอบด้วยตำแหน่งต่างๆ ได้แก่
1. รองผู้อำนวยการสถานศึกษา
2. ผู้อำนวยการสถานศึกษา
3. รองผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา
4. ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา
5. ตำแหน่งที่มีชื่อเรียกอย่างอื่น ตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด
6. บุคลากรทางการศึกษาอื่น
7. ประกอบด้วยตำแหน่ง ศึกษานิเทศก์ และตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด
ที่มา: Wikipedia
อ้างอิง
No comments:
Post a Comment